ซีซั่นไบโพลาร์ 3 แต้มเกมตึงจัด
ใจผมอ่ะอยากดูและเขียนถึงหลายๆทีมแต่ในเมื่อเตะเวลาชนกันมันก็ต้องไปจบที่คู่ทีมรักอย่าง ลิเวอร์พูล พบกับ วูลฟ์แฮมป์ตัน โดยปริยาย
ก่อนหน้านั้นสลับดูคู่ อาร์เซนอล ที่คิกออฟก่อน 15 นาทีและเห็น เอฟเวอร์ตัน ของ ชอน ไดซ์ เตรียมตัวรับมือมาอย่างดียัน 0-0 เอาไว้จนเกือบจบครึ่งแรก
จะเรียกว่ายันก็ไม่เต็มปากเพราะช่วงนั้น “ท๊อฟฟี่” มีโอกาสทำประตูมากกว่า “ปืนใหญ่” ด้วยซ้ำจากการยืนรับกันแน่นหน้าเขตโทษแต่ยามเผลอโต้กลับเล่นเอาแฟนบอลนั่งเครียดกันเป็นแถว
จังหวะเสียประตูของทีมเยือนออกจะเหลือเชื่อเพราะการยืนแพ็คหน้าเขตโทษใครได้บอลโดนตามติดตลอดแต่ประตูปลดล็อกก่อนพักครึ่ง 5 นาทีต้องบอกว่า วิตาลี่ มิโคเลนโก้ ดันไปพะวง มาร์ติเนลลี่ เลยยืนประกบ ซาก้า ห่าง 2-3 หลา
ลูกยิงผีจับยัดด้วยเท้าขวาข้างไม่ถนัดเป็นการทำลายกำแพงแนวรับของ เอฟเวอร์ตัน ที่โดนแล้วไหลแพ้เละ 4-0
3 แต้มที่ทำให้บรรยากาศผ่อนๆลงมาจากการหนี แมนฯซิตี้ ออกไปเป็น 5 แต้มและเป็นการตบๆสถานการณ์ให้กลับมาสู่สภาวะปกติหลังก่อนหน้านี้แพ้ “เรือใบ” แอบเป๋ไปอยู่พักนึง
ครับตัดกลับมาที่ แอนฟิลด์….แฟน “หงส์แดง” เครียดกว่าแถมเครียดอยู่นานมาก เครียดทั้งรูปเกมที่ขึ้นลำบากหาโอกาสยิงสวยๆน้อยมาก เป็นสิ่งที่เราคาดไว้อยู่แล้วกับการเจอ วูลฟ์แฮมป์ตัน
จึงออกจะเหลือเชื่อไปหน่อยที่จู่ๆกลับมาได้ถึง 2 ประตูภายในเวลาห่างกันเพียง 4 นาที!!
ที่ต้องขยี้ตารัวๆคือในสภาพที่ ลิเวอร์พูล ดูเปราะบางและไม่มั่นคงในแต่ละเกมที่ลงเล่นแต่หลังจบเกมนี้กลับเก็บคลีนชีตได้ 4 นัดติดต่อกันและกระโจนขึ้นมาอยู่ที่ 6 ตามหลัง สเปอร์ส ซึ่งอยู่อันดับ 4 แค่ 6 แต้ม (และมีอีกเกมในมือ)
เป็นสถานการณ์ที่แปลกๆและสับสนในหมู่ เดอะ ค็อป คือเหมือนเราจะตามด่าตามบ่นทีมตัวเองมารัวๆแบบไม่มีพักแต่ในเชิงสถิติตัวเลขกลับสวนทางกัน
แม้เกมที่ แอนฟิลด์ จะยังเป็นตัวแบกทีม (เทียบกับการกวาดไป 27 คะแนนในบ้านแต่นอกบ้านแค่ 12) แต่เรียนตามตรงวันนี้ วูลฟ์แฮมตัน ถ้ามีแต้มออกจาก แอนฟิลด์ ก็ไม่น่าเกลียดเลย
ช่วงที่ทั้งคู่เกมตึงๆ 0-0 เชื่อว่าหลายคนมีคิดแว่บๆในใจอยู่บ้างว่าถ้านักเตะเจ้าถิ่นคนไหนงัดลูกเหวอโดน “หมาป่า” ยิงขึ้นนำเมื่อไหร่ก็เตรียมคาบ้านเมื่อนั้น
คือ วูลฟ์ เล่นบอลแบบมีทรงมีเทคนิคตามสไตล์ ช่วงเวลาที่ ลิเวอร์พูล เคยพีคๆขุมกำลังเต็มสูบปีสองปีก่อนเจอกันยังเหนื่อย
แล้วดูสภาพกลางวันนี้ไม่มีทางเทียบได้เลยกับการเปลี่ยนแกนบอลของ เนเวส หรือการเอาตัวรอดของ นูเนส (ที่ครึ่งแรกกระชากหลบ 3-4 ตัวแหวกทะลุง่ายๆ)
“หงส์แดง” ไม่มีกลางตัวสร้างสรรค์เกมมีแต่ตัวตัดเกมซะ 2 และตัวคืนหลังอีก 1 ทำให้การขึ้นเกมจะเอียงด้านข้างซะเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งการออกเน้นด้านข้างไม่ใช่ปัญหาใหญ่ในการรับมือของพวกมนุษย์หมาป่าเลย
ความน่าอึดอัดจนแข้งขาเราต้องขยับเกร็งไปมาเมื่อ ลิเวอร์พูล ต้องตั้งเกมจากหน้าประตูตัวเอง อลิสซอน เก็บบอลไว้กับตัวนานเท่าไหร่หัวใจเต้นแรงขึ้นเท่านั้น
ด้วยความที่กลางไม่มีตัวพลิกบอลหรือกล้าทำอะไรกับบอล แนวรับทั้ง 4 และโดยส่วนใหญ่กรรมตกมาอยู่ที่แบ็ค 2 ข้างที่ต้องสาดบอลทิ้งแบบไร้หางเสือ
สาเหตุหลักคือไม่ไว้ใจแดนกลางและแต่ละคนภาษากายสีหน้าสีตาไม่พร้อมพลิกบอลซึ่งสถานการณ์แบบนี้ทุกคนคิด ธิอาโก้ ที่สุดแล้ว
ดังนั้นต้องขอบคุณ ดิโอโก้ โชต้า ที่มีซีนน้อยแต่โผล่มาทีทรงพลังทั้งมีส่วนกับลูกที่ถูก VAR ริบหรือแอสซิสต์ให้ ฟาน ไดคจ์ โขกพังประตูปลดล็อกที่ทำให้โฉมหน้าของเกมนี้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
การสัมผัสบอลน่าจะหนแรกของ กัคโป ทำชิ่งให้ ชิมิกาส ลากไปแอสซิสต์ให้ โม ซาลาห์ เป็นการเข้าทำสวยๆในรูปแบบทีมเวิร์คที่เราอยากเห็นที่สุดในเวลานี้
สำหรับคนที่ไม่มีโอกาสได้ดูเกมวันนี้ บอกได้ว่า TAA เล่นดีผิดหูผิดตา เกมรับดีขึ้นชัดเจน ในขณะที่การขับเคลื่อนในเกมรุกเนียนกริบ เรียกว่าลงสนามวันนี้้ความกระหายและมุ่งมั่นมาเต็มมากๆ
ในขณะที่ ฟาบินโญ่ หวาดเสียวเกือบถูกไล่ออกแต่โดยรวมดีขึ้น (นิดหน่อย) จากสภาพของรถซาเล้งขยับขึ้นมาเป็นมอไซค์จ่ายตลาด ทางบอลเริ่มมาแต่ความพรวดพราดยังไม่หายไปไหน
ลืมไม่ได้คือในสภาพทีม ลิเวอร์พูล ที่หันไปทางไหนไม่มีตัวหวือหวาหรือทะลุทะลวงแบบมันๆแต่ ณ เวลานี้ ดาร์วิน นูนเญซ เป็นคนที่ทำให้ เดอะ ค็อป ได้ตื่นตาตื่นใจกับการเลี้ยงกินตัวและการมีส่วนร่วมกับเกมอย่างต่อเนื่อง
ครับการเก็บคลีนชีตในลีก 4 นัดติดแต่เกมเดียวถูก เรอัล มาดริด ส่อง 5 ลูกบอกเราได้อย่างนึงคือการจบสกอร์ของนักเตะระดับโลกกับ 4 ทีมที่ “หงส์แดง” เจอมา (เอฟเวอร์ตัน, นิวคาสเซิ่ล, พาเลซ และ วูลฟ์) มันมีความต่างกันค่อนข้างเยอะ
ฉะนั้นแล้วผมมองว่า “แดงเดือด” วันอาทิตย์นี้ ลิเวอร์พูล มีโอกาสถูกล่อลวงให้เปิดหน้าแลกจนแผลที่ยังไม่หายดีอย่างแนวรับถูกเจาะได้ง่ายๆเหมือนที่ “ราชัน” จัดนิทรรศการไปเมื่อกลางสัปดาห์ก่อน
ทั้งนี้ทั้งนั้นเราต้องไม่ลืมว่าชั่วโมงนี้เกมรุกฉาบฉวยน้อยจังหวะของ แมนฯยูฯ กำลังขายดิบขายดีจัดๆและเพิ่งบรรเลงท้ายเกมใส่ เวสต์แฮม ใน เอฟเอ คัพ มาหมาดๆ 3-1
ครับผมเชื่อว่ากราฟของ “หงส์แดง” จะยังขึ้นลงสลับฟันปลาชนิดถูไถให้จบฤดูกาลนี้แบบบอบช้ำน้อยที่สุด
แต่สัญญาณดีๆที่อยากชื่นชมคือ reaction ของความหิวกระหายหลังโซว์ห่วยเกมเสมอกับ พาเลซ ที่วันนี้ชดเชยเป็น 3 แต้มสวยๆประเดิมเดือนมีนาคม….
สถิติ สถิติ สถิติ (พรีเมียร์)
3 จาก 4 นักเตะที่ยิงประตูมากที่สุดใน 5 ลีกใหญ่ฤดูกาลนี้และอายุ 21 ปีหรือน้อยกว่ามาจากแข้ง อาร์เซนอล
15 – โฟลาริน บาโลกัน
11 – กาเบรียล มาร์ติเนลลี่
11 – จามาล มูเซียล่า
10 – บูกาโย่ ซาก้า
บูกาโย่ ซาก้า และ กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ ทั้งคู่ยิงประตูที่ 10 ในลีกของตัวเองทำให้ “ปืนใหญ่” กลายเป็นทีมแรกที่มี 2 ผู้เล่นทำประตูตัวเลข 2 หลักในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้
นอกจากนี้ ซาก้า ยังเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดคนที่ 6 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ยิงและแอสซิสต์รวมกันแตะเลข 50 ต่อจาก ไมเคิ่ล โอเว่น, เวย์น รูนีย์, ร็อบบี้ ฟาวเลอร์, เชส ฟาเบรกัส และ คริส ซัตตัน
อาร์เซนอล ยิงใส่ เอฟเวอร์ตัน ในเกมเดียว 4+ ในพรีเมียร์ลีกเป็นหนที่ 12 ซึ่งมากกว่าทีมอื่นๆที่ยิงคู่แข่งทีมเดิมยังไม่เท่า “ปืนใหญ่” ทำกับ “ท๊อฟฟี่”
สถิติ สถิติ สถิติ (เอฟเอ คัพ)
ตอนนี้ แมนฯยูฯ กวาดชัยชนะ 30 เกมในทุกรายการหลังเล่นในซีซั่นนี้ไป 41 เกมโดยมีเพียงแค่ฤดูกาล 2006-07 และ 2012-13 เท่านั้นที่ชนะ 30 นัดด้วยจำนวนเกมที่น้อยกว่า (40) ซึ่งทั้ง 2 ซีซั่นดังกล่าว “ปีศาจแดง” ลงเอยด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกทั้งหมด
เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2007-08 ที่มีตัวแทนจากพรีเมียร์ลีกหลุดเข้ามาถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเอฟ เอ คัพ น้อยที่สุดแค่ 4 ทีมเท่านั้น
ที่มา: soccersuck