ดราม่ากลุ่ม C ลุ้นกันยันใบเหลือง

ดราม่ากลุ่ม C ลุ้นกันยันใบเหลือง

ระหว่างดูบอลเหลือบมองนาฬิกาตี 3 กว่าความง่วงไม่บังเกิดเนื่องจากกลุ่ม ซี มีสตอรี่ให้ลุ้นระทึกหลัง ฮูเลียน อัลวาเรซ ยิงประตูให้ อาร์เจนติน่า ขึ้นนำ โปแลนด์ 2-0

ตั้งแต่นาที 67 เป็นต้นมาเกิดความเคลื่อนไหวยุกยิกจากสต๊าฟโค้ชทั้ง 2 สนาม วิธีการเล่นเปลี่ยนไปทันที

ครับ ณ ตอนนั้น เม็กซิโก นำ ซาอุดิอาระเบีย อยู่ 2-0 นั่นหมายความว่าทั้ง “จังโก้อันตราย” และ โปแลนด์ มีทุกอย่างเท่ากันหมด แต้ม,ประตูได้เสียและจำนวนประตูที่ยิง

แต่ตัวแทนจากยุโรปได้เปรียบตามกฏ “แฟร์เพลย์” จากการได้ใบเหลืองน้อยกว่า 2 ใบ (5 ต่อ 7)

เม็กซิโก รู้แล้วว่าพวกเขาอยู่เฉยไม่ได้ต้องการประตูเพื่อเข้ารอบตาม “ฟ้าขาว” ด้วยผลต่างประตูได้เสียที่มากกว่า โปแลนด์ 1 ลูกจึงโหมบุกอย่างบ้าเลือด

แม้กระทั่งรีบร้อนเอาบอลมาตั้งให้ ซาอุดิอาระเบียบ ทั้งๆที่ยังเหลือเวลาร่วม 20 นาที

ตรงกันข้ามกับ โปแลนด์ ที่เปิด SoccerSuck เช็กสกอร์จากมู้ Live (โฆษณา) รู้ผลอีกคู่และสถานการณ์ของตัวเองจึง sit tight ไม่ไล่,ไม่เอาอะไรแล้ว รับเน้นๆแม้ตามหลังอยู่ 2-0

เรียกว่าซื้อใจ ซาอุฯ ว่าจะไม่เสียประตูเพิ่มเพื่อเข้ารอบตามกฏแฟร์เพลย์จนเกือบน้ำตาตกในเพราะนั่นเท่ากับปล่อยให้ อาร์เจนติน่า นวดคลึงไซร้ซอกคออยู่ข้างเดียวเฉียดโดนเม็ด 3 อยู่หลายหน

ชัดเจนว่าเป็นการตั้งธงตั้งแต่ก่อนลงสนามว่าขอใช้แท็คติกส์นี้ตามผลการแข่งขันของอีกคู่เป็นหลัก

โชคดีที่โอกาสยิงเกือบ 30 ครั้ง (26) แต่เข้ากรอบเพียง 11 ของ เม็กซิโก ไม่มีประตูเพิ่มและหงายเงิบเองจากความหละหลวมให้ ซาอุดิอาระเบียบ ทำชิ่ง 1-2 ยิงตีไข่แตกนาที 90+5 ตกรอบแบบหมดสิทธิ์แก้ตัว

แม้กระทั่งถึงตรงนี้ เกราร์โด้ มาร์ติโน่ กุนซือยังกระตุ้นชู 1 นิ้วเพื่อบอกเด็กๆว่ายังต้องการอีก 1 ลูกเท่าเดิม (เพื่อให้ประตูได้เสียเท่ากันแต่ยิงได้มากกว่า 3/3 กับ 2/2)

ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นไม่ไหวครับ เวลามีน้อยเกินไป (แค่ 2 นาทีหลังโดน 2-1) กลายเป็นว่า ซาอุดิอาระเบีย เล่นสมศักดิ์ศรีดึงเอา เม็กซิโก กลับบ้านพร้อมกัน

โปแลนด์ ได้เฮฮาผ่านเข้ารอบน็อกเอาท์เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1986 แต่ใจนึงก็ต้องยอมรับว่าคงจอดแค่รอบนี้หลังต้องเจอทีมเกมรุกฟอมูล่าวันอย่าง ฝรั่งเศส

แล้วมึงจะมาบอกกูทำไมตั้งยืดยาว ท่านผู้อ่านคงคิดแบบนั้นในใจ

ครับท่ามกลางสถานการณ์ลุ้นกันนาทีต่อนาที อาร์เจนติน่า ตีพุงลอยลำสบายใจกว่าใครเพื่อน เป็นการสู้ชีวิตจากที่แพ้เปิดสนามก่อนชนะ 2 นัดรวดเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม

ดราม่าเล็กๆ (เพราะไม่มีผลอะไร) ที่ทำให้ผมกังขาต่อการตัดสินของสิงห์เชิร์ตดำคือจังหวะจุดโทษของ อาร์เจนติน่า ที่ เมสซี่ ยิงไปติดเซฟ วอยเซียค เซสนี่

มองเหลี่ยมไหนหาทางเป็นจุดโทษไม่เจอจริงๆ เซสนี่ ลอยตัวไปปัดบอลแต่ไม่ถึงแต่ปลายนิ้วไปปาดใส่หน้า เมสซี่ ที่โหม่งบอลออกไปก่อนแล้ว

ให้ได้นะถ้า เมสซี่ กำลังจะโขก (แต่ยังไม่โขก) แล้วอดีตนายทวาร อาร์เซนอล ไปปัดใส่หน้าเป็นการขัดขวางการเล่น

ดังนั้นเคสนี้ไม่ต่างจากการที่กองหลังซักคนสไลด์บล็อกลูกยิงของกองหน้าที่ลั่นไกออกไปแล้วแต่แรงเฉื่อยไปกวาดล้มทั้งยืน

เส้นทางสู่รอบ 8 ทีมของ “ฟ้าขาว” ทำท่าสดใสเพราะชื่อชั้นเหนือกว่า ออสเตรเลีย ทีมเอเชีย “ชุบตัว” บานเบอะ

แต่หากใครได้ดูฟอร์มมาตั้งแต่นัดแรกยันนัดสุดท้าย (ไม่นับครึ่งหลัง)

สรุปได้ว่าถ้าไม่มี เมสซี่ เป็นจุดขาย อาร์เจนติน่า เป็นทีมใหญ่แทบจะทีมเดียวที่ฟอร์มการเล่นปวกเปียก หาจุดเด่นร้องว้าวยังไม่เจอเลย

ความสามารถ skill ของนักเตะบางคนดูแล้วต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ชาติมึงไม่มีใครดีกว่านี้แล้วเหรอ?”

มาร์กอส อกุนญ่า แบ็คสายที่วันนี้โอเวอร์แลปมาช่วยเกมรุกตลอด 45 นาทีแรก ได้บอลบ่อยมากแต่พระเจ้า จ่ายง่ายๆยังส่งไปให้นักเตะ โปแลนด์

เมสซี่ พลิกบอลสุดสวยเปิดยาวตัดหลังมาให้หลุดเสาสองแต่โขกส่งคืน วอยเซียค เซสนี่ และอื่นๆที่พรรณนาได้ไม่หมด

โรดริโก้ เด ปอล ที่กากมาก่อนหน้านี้ 2 เกม ครึ่งแรกก็ยังท็อปฟอร์ม จับบอลลั่น ส่งบอลสั้น สีหน้าของ เมสซี่ ดูแล้วเหนื่อยใจกับสภาพแวดล้อมเอามากๆ

ข้อดีของแข้งแอต.มาดริด วัย 28 ปีคือขยันและเข้าบอลโคตรหนักแบบไม่กลัวเจ็บ คุณสมบัติที่เหลือก็ตามข้อมูลที่แชร์จากไลน์กลุ่มเลยครับ

ผมแอบขำจังหวะที่ เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ ยิงไกลแล้วข้ามคาน กล้องจับไปที่ เมสซี่ หน้าเหวอเกาหัวทำให้ภาพของ สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด เกาหัวตอน ราฟา เบนิเตซ เปลี่ยน เฟร์นานโด ตอร์เรส ออกทั้งๆที่ ลิเวอร์พูล กำลังต้องการประตู

วันที่เจอ ซาอุฯ เราให้อภัยถ้าจะเล่นห่วยทั้งทีม เครดิตให้ทีมจากตะวันออกกลางที่มาแบบท้าชนแทบไม่มีพื้นที่ให้เล่น

กับ โปแลนด์ อย่างที่บอกไป “อุด” แหลก พื้นที่สุดท้ายมีให้เล่นน้อยก็จริงแต่มันไม่ใช่ข้ออ้างการคุณภาพการเล่นที่ไม่สมกับเป็นตัวทีมชาติ

ผมพยายามมองในแง่ดีว่าการแพ้ในเกมเปิดสนามอาจเป็นตัวถ่วงให้นักเตะเกร็งและไม่เป็นตัวของตัวเองจากเงื่อนไขห้ามพลาดเลยใน 2 เกมที่เหลือ

ได้แต่หวังว่าการเจอ ออสเตรเลีย ในวันที่ 3 ธันวาเราจะได้เห็น อาร์เจนติน่า จริงๆซักที…

สถิติ สถิติ สถิติ

ลีโอเนล เมสซี่ เป็นนักเตะอายุมากที่สุดในฟุตบอลโลก (นับตั้งแต่ปี 1966) ที่สร้างโอกาส 5+ และเลี้ยงหนีคู่แข่ง 5+ ในเกมเดียวโดยตำแหน่งแชมป์เดิมเหมือนบังเอิญเมื่อ ดิเอโก้ มาราโดน่า เคยทำไว้ในเกมพบ ไนจีเรีย เมื่อปี 1994

วอยเซียค เซสนี่ เป็นผู้รักษาประตูคนที่ 2 (นับตั้งแต่ปี 1966) ที่เซฟจุดโทษในฟุตบอลโลกหลังทำเสียเองหลัง โจเอล บัตซ์ เคยทำไว้ในเกมที่ ฝรั่งเศส พบ บราซิล เมื่อปี 1986

เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ (21 ปี 317 วัน) เป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ออกสต๊าร์ตฟุตบอลโลกให้ อาร์เจนติน่า นับตั้งแต่ ลีโอเนล เมสซี่ ทำสถิตินี้เอาไว้เมื่อปี 2006 (18 ปี 362 วัน)

ออสเตรเลีย เป็นทีมที่ 3 ที่ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มในฟุตบอลโลกหลังทั้งแพ้และเสีย 4+ ในนัดเปิดสนามหลัง ยูโกสสลาเวีย 1990 และ ยูเครน 2006 เคยเจอชะตากรรมเดียวกันมาก่อน

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู:
X ปิด