แพ้แล้ว แพ้อยู่ แพ้ต่อ เลก 2 สู้ด้วยใจ
ถ้าให้เปรียบเทียบ เชลซี กับ ลิเวอร์พูล ต้องบอกว่าฝ่ายแรกโชคดีเอามากๆที่ยังพอเหลือความหวังในบ้านตัวเอง (อีกนิดหน่อย) กับสกอร์ตามหลัง เรอัล มาดริด เพียงแค่ 2-0
เกมเป็นรองสุดกู่และเหลือ 10 ตัวร่วม 30 นาทีโดนยิงเพิ่มแค่ลูกเดียวต้องถามว่าทำบุญมาด้วยอะไร
ผิดกับ “หงส์แดง” ที่ชีวิตโหดร้ายรู้ชะตากรรมตั้งแต่เลกแรกจากการแพ้ยับคาบ้านถึง 5-2
แม้กระทั่งแฟน “สิงห์บลู” คงไม่มีใครหวังว่าจะเกิดอภินิหารกับทีมรักโดยเฉพาะต้องมาเยือน “ราชันชุดขาว” ในสภาพผู้ป่วยติดเตียง
และต้องไม่ลืมว่า มาดริด ไม่ว่าฟอร์มในลา ลีกาจะต่ำกว่ามาตรฐานแค่ไหน
พวกเขามักเปิดโหมด UCL ในแบบฉบับของตัวเองเสมอ!!
ทีมของ คาร์โล่ อันเชล็อตติ ชี้ทางสว่างให้ เชลซี ตั้งแต่ต้นเกมถึง 2 หนแต่ในเมื่อไม่ยอมฉวยโอกาสมันก็ไม่มีมาให้อีกแล้ว
เป็นการตอกย้ำให้เห็นถึง เชลซี ในช่วง lack of cutting edge มันสิ้นหวังแค่ไหน
เซนส์บอลการเคาะจ่ายบอลจังหวะเดียวยังเป็นเสน่ห์และสิ่งที่ผมชอบที่สุดเวลาต้องดูพวกพรี่ๆเขาเล่น
ผมเคยดู Reels ฝรั่งสอนฟุตบอลเด็กๆพร้อมยกตัวอย่างว่าพวกนักเตะระดับโลกเขาจะไม่เสียบอลกันพร่ำเพรื่อ บอลออกจากเท้าทุกลูกดูง่ายและทำให้เกิดความได้เปรียบ
การเล่นที่ว่านี้เหมือนง่ายแต่ไม่ง่ายเพราะจะว่าไปนักฟุตบอลก็คิดว่าตัวเองเก่งมีอะไรมากกว่าเล่นพื้นๆแบบนี้
มันก็ต้องมีงัดลูกเล่นแพรวพราวให้เห็นกันบ้างแต่พวกแข้ง “ราชัน” กลับทำทุกอย่างดูง่ายดายไปหมด
แม้ลูกแก้ไขที่เห็นชัดว่าต้องเสียแน่ๆกลับเปลี่ยนให้เป็นจังหวะขึ้นเกมรุกสวยๆได้หน้าตาเฉย
ในขณะที่การเข้าทำของ มาดริด จับทางยากด้วยครับ นอกจากทำชิ่งไปเรื่อยๆเพื่อดึงนักเตะ เชลซี ให้เกิดช่องแล้วพวกเขายังมีอาวุธหลักอย่างการขึ้นเกมทางริมเส้นจากตัวตึงทั้ง วินิซุอุส และ โรดริโก้
รวมถึงวิชั่นการหยอดบอลข้ามหัวเซนเตอร์ที่นำมาสู่ประตู 1-0 ของ “คิงคาริม” รวมถึงการวางยาวทำให้ ชิลเวลล์ ต้องพลีชีพดึง โรดรีโก้ นำมาสู่ใบแดงในนาที 59
การมี option ค่อนข้างหลากหลายตรงนี้ทำให้ตำแหน่งการยืนของแนวรับของ เชลซี สับสนและดูหลุดอยู่ตลอดเวลา
อีกจุดนึงที่เล่นไปเล่นมา “สิงห์” ดูมีปัญหาและสู้ไม่ได้เลยคือการถูกเพรสแดนบน
จากที่เคยแกะเพรสอย่างใจเย็นในยุค ทูเคิ่ล มาถึง พ็อตเตอร์ ที่ดูอ่อนกำลังลงแต่ยังไม่ลนลานเท่ายุค แลมพาร์ด
เบน ชิลเวลล์ ถึงกับส่ายหัวเพราะเล่นด้านข้างแต่ทุกครั้งที่ได้บอลเจอบีบแต่กลับไม่เจอเพื่อนที่จะเข้ามาเอาบอล
ใครบอกแข้งคนแก่ “ราชัน” ปล่อยให้เด็กๆเพรสแต่เกมเมื่อคืนทั้ง โมดริช และ โครส แย่งบอลกลางสนามได้ไม่น้อยเลย
2 ผู้เฒ่าที่อายุรวมกัน 70 ปีใช้ความฉลาดคุมพื้นที่คอยดักโดยประสบการณ์อ่านทางบอล
ปล่อยให้พื้นที่ทางกว้างจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของน้องๆไล่บอล สถานการณ์จึงตกเป็นของเจ้าถิ่นโดยสมบูรณ์แบบ
ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกันทั้ง เชลซี และ ลิเวอร์พูล แดนกลางเป็นรองวิ่งไม่เจอบอล
ครับยิ่ง แลมพ์ ไม่มีจุดเด่นในเรื่องแท็คติกส์ทุกอย่างยิ่งดูสิ้นหวังเข้าไปอีก
แกเข้ามารับงานได้ 2 นัดแพ้ 2 นัดรวมกับของ พ็อตเตอร์ 2 นัดหลังก่อนโดนเด้งทำให้ “สิงห์” ยิงประตูใครไม่ได้ 4 นัดติดต่อกันเป็นหนแรกนับตั้งแต่ปี 1993
เป็นปัญหาที่ส่งมาถึงรุ่นสู่รุ่นและผมยังมองไม่ออกว่า แลมพ์ จะพลิกแผ่นดินหาวิธีไหนมาแก้ปัญหา
6 ชั่วโมงกับการยิง 61 ครั้งโดยที่ยังทำประตูไม่ได้และจู่ๆจะมายิง มาดริด ให้ได้ 2-3 ลูกใน 90 นาทีฟังแล้วเหมือนอ่านมังงะมากไปหน่อย
Sky Sports ย้ำสถิติให้เห็นถึงความเป็นไปไม่ได้หนักเข้าไปอีกเพราะเชื่อหรือไม่ตลอด 22 เกมหลังสุดในทุกรายการของ “สิงห์” พวกเขายิงเกิน 2 ลูกไปแค่ 4 เกมเท่านั้น!!
ความหวังเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่และน่าจะเป็นจุดขายเดียวของ แลมพ์
คือ ถ่ายทอดความ “ใจสู้” ผ่านบรรยากาศ European night ในบ้านตัวเองตัวปลุกเร้านักเตะ
มุกสุด classic ของบรรดาทีมรองยังจะใช้หากินได้อีกไหม กลางสัปดาห์หน้ารู้เรื่องครับ…
สถิติ สถิติ สถิติ
– วินิซิอุส จูเนียร์ สุดจัดมีส่วนร่วมกับ 20 ประตูใน 20 เกม UCL หลังสุดโดยแบ่งเป็น 10 ประตูกับอีก 10 แอสซิสต์
– เชลซี ยิงประตูใครไม่ได้เป็นเกมที่ 4 ติดต่อกันในทุกรายการ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ธันวาคม 1993
– นี่เป็นครั้งแรกที่ เชลซี เปิดโอกาสให้คู่แข่งยิงเข้ากรอบ 10+ หนใน 1 เกม (10 พอดี) นับตั้งแต่โดน ลิเวอร์พูล ส่องตรงเป้า 11 หนเมื่อเดือนสิงหาคม 2019 โดยความบังเอิญคือวันที่เจอกับ “หงส์” เป็นเกมที่ 2 ของ แลมพาร์ด ในการคุมทีมภาคแรกและที่ ซานติอาโก้ เบอร์นาบิว เป็นการคุมทีมเกมที่ 2 ในภาค 2 เช่นกัน
– คาริม เบนเซม่า ยิง 20 ประตูเมื่อเจอกับสโมสรจาก อังกฤษ ใน UCL โดยเขาเป็นรองเพียงแค่ ลีโอเนล เมสซี่ (27) เพียงคนเดียวเท่านั้น
ที่มา: soccersuck