แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของฟุตบอลทีมชาติไทย

แชมป์ “คิงส์ คัพ” สมัยที่ 16 ของ ทีมชาติไทย คือ แชมป์รายการแรกของ “มาซาทาดะ อิชิอิ” นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาคุมทัพ “ช้างศึก” เมื่อปลายปี 2566

ความสำเร็จอาจจะดูมาช้า แต่มากกว่าคือเริ่มที่จะมองเห็นแสงสว่างชัดเจนมากขึ้นในหลาย ๆ มุม โดยเฉพาะบรรดาสายเลือดใหม่

นักเตะอย่าง โจนาธาร เข็มดี, อภิสิทธิ์ โสรฎา, คคนะ คำยก, วิลเลียม เวเดอร์เฌอ, ชาญณรงค์ พรมศรีแก้ว, ปรเมศย์ อาจวิไล และ อนันต์ ยอดสังวาลย์ ต่างได้โอกาสแสดงศักยภาพ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากในการต่อยอดเพื่อเป็นกำลังหลักของทีมชาติไทยในอนาคต

โดยเฉพาะรายของ โจนาธาร เข็มดี ที่ยกระดับตัวเองด้วยความมุ่งมั่น และแพสชั่นที่มีอยู่เต็มเปี่ยม จะเหลือก็เพียงแค่เติมประสบการณ์เข้าไปเพิ่มเท่านั้น

หรือแม้แต่การกลับมาของ เอกนิษฐ์ ปัญญา ที่ฝ่ามรสุมคำวิจารณ์ ก่อนแสดงให้เห็นว่าตัวเองยังมีดีพอที่จะกลับมาแย่งตำแหน่งในทัพช้างศึกอีกครั้ง

ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงเวลาไม่ถึงขวบปีจากการเข้ามาของ กุนซือชาวซามูไร ที่ ณ วันนี้ ได้ทั้งแชมป์ ได้ทั้งคำชม

การสร้างให้ทีมชุดนี้เดินหน้าด้วยสายเลือดใหม่ โดยมี “กัปตันชนาธิป” รับบทพี่ใหญ่ของน้องๆ เพียงลำพัง และกล้าที่จะไม่ยึดติดกับการใช้นักเตะชุดเดิมๆ

นี่คือสิ่งที่ดีมากๆ หากมองถึง “อนาคต”

แต่การบ้านข้อใหญ่ของ อิชิอิ คือการค้นหานักเตะอย่างน้อยตำแหน่งละ 2-3 คน ที่สามารถทดแทนกันได้อย่างเนียนตา

รวมถึงการรักษามาตรฐานของความเป็นหนึ่งแห่งย่านอาเซียน และพัฒนาให้เป็นรูปธรรมจนก้าวไปสู่หัวแถวของทวีปเอเชียให้ได้

สิ่งสำคัญคือ สมาคมฯ ต้องหนุนหลังภายใต้แผนงานการจัดการที่ดีกว่าเดิม และ ตอบโจทย์ในทุกด้าน

เหล่าสโมสร ต้องสนับสนุน และ ให้ความร่วมมือกับทีมชาติในทุกมิติ

รวมทั้ง แฟนบอล ต้องรอให้เป็น ใจเย็นให้พอ และ วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์

ถ้าทั้งหมดนี้เป็นจริงได้ แม้จะต้องใช้เวลา และ อาจจะเจ็บปวดใจในบางแมตช์ แต่เชื่อว่าเราจะได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของฟุตบอลทีมชาติไทยอย่างแน่นอน

ที่มา: soccersuck

ความคิดเห็น

ความคิดเห็น

จำนวนคนดู:
X ปิด